วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560


ชื่อท้องถิ่น :ปลานิล
ชื่อสามัญ : Nile tilapia
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Oreochromis , Oreochromis niloticus
ประเภทสัตว์: สัตว์น้ำ

ลักษณะสัตว์:
เป็นปลาที่สามารถอาศัยอยู่ได้ในน้ำจืดและน้ำกร่อย ปลานิลนำเข้าสู่ประเทศไทย ครั้งแรก โดยสมเด็จพระจักรพรรดิ อะกิฮิโตะ เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศมกุฎราชกุมารแห่งประเทศ
ญี่ปุ่น ทรงจัดส่งเข้ามาทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   เมื่อวันที่   25  มีนาคม
พ.ศ. 2508 ต่อมาจึงพระราชทานชื่อว่า “ปลานิล” โดยมีชื่อมาจากแม่น้ำไนล์ (Nile) ที่เป็น
 ถิ่นที่อยู่อาศัยดั้งเดิม มีรูปร่างคล้ายปลาหมอเทศ แตกต่างกันที่ปลานิลมีลายสีดำและจุดสี
 ขาวสลับกันไป บริเวณครีบหลัง    ครีบก้น และลำตัวมีสีเขียวปนน้ำตาล มีลายดำพาดขวาง
   ลำตัวมีความยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร

ปริมาณที่พบ: น้อย
การใช้ประโยชน์: เป็นอาหาร
อธิบายวิธีการใช้ประโยชน์: นำมาเลี้ยงเพื่อประกอบอาชีพ   และ นำมารับประทาน
แหล่งที่พบ: ทั่วไป

ข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติม: มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ที่ทวีปแอฟริกาพบทั่วไปตามหนอง บึง และทะเลสาบในประเทศซูดาน ยูกันดา แทนแกนยิกา สามารถอาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำกร่อย นิยมเลี้ยงเพื่อการเกษตรกันอย่างแพร่หลายในภาคพื้นเอเซีย แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาก็นิยมเลี้ยงปลาชนิดนี้ ปลานิลเข้าสู่ประเทศไทยครั้งแรกโดยสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศมกุฎราชกุมารแห่งประเทศญี่ปุ่น ทรงจัดส่งเข้ามาทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 25 เดือนมีนาคม พุทธศักราช 2508 เป็นจำนวนทั้งหมดจำนวน 50 ตัว ครั้งนั้นพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้า ให้ทดลองเลี้ยงปลานิลในบ่อสวนจิตรลดา

ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view2.aspx?id=8673

วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2560

คราฟจักรพรรดิ์/บัตเตอร์ฟายล์-กอย




เนื่องจากผู้จัดทำไม่สามารถหาข้อมูลของพันธุ์ปลาคราฟจักรพรรดิ์ ได้เนื่องจากพันธุ์ปลาได้มาจากการเพาะเลี้ยงในประเทศและหาข้อมูลยาก ทางผู้จัดทำจึงหาพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับพันปลา คราฟจักรพรรดิ์ให้มากที่สุด คือพันธุ์ batterfly koi 

ปลาคราฟ/ปลาคาร์ฟ (Crap) เป็นปลาสวยงามที่ได้รับความนิยมจากผู้เลี้ยงปลาสวยงามมานาน เนื่องจาก เป็นปลาที่มีสีสันสวยงาม เชื่อง และเลี้ยงง่าย เป็นที่ต้องการของผู้เลี้ยงปลาสวยงามในทุกกลุ่มทั้งใน และต่างประเทศ


ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cyprinus carpio Linn.
ชื่อสามัญ : Butterfly Koi
ชื่อท้องถิ่น : ปลาคราฟ , ปลาคราฟจักพรรดิ์


บัตเตอร์ฟายล์-กอย (Butterfly Koi) คือปลาแฟนซีคาร์พที่มีครีบ และหางยาวคล้ายผีเลื้อขณะว่ายน้ำ มีชื่อเรียกดังนี้ คือ

บัตเตอร์ฟายล์-โคฮากุ (Butterfly Kohaku) คือปลาแฟนซีคาร์สายพันธุ์ โคฮากุ ที่มีครีบและหางยาวคล้ายผีเลื้อ

บัตเตอร์ฟายล์-ไทโช-ซันโชกุ (Butterfly-Taisho-Sanshoku) คือ ปลาแฟนซีคาร์พสายพันธุ์ ไทโช-ซันโชกุ ที่มีครีบและหางยาวคล้ายผีเลื้อ

บัตเตอร์ฟายล์-โชวา-ซันโชกุ (Butterfly- Showa-Sanshoku) คือ ปลาแฟนซีคาร์พสายพันธุ์ โชวา-ซันโชกุ ที่มีครีบและหางยาวคล้ายผีเลื้อ

บัตเตอร์ฟายล์-ชิโร่-เบคโกะ (Butterfly Shiro Bekko) คือ ปลาแฟนซีคาร์พ สายพันธุ์ ชิโร่-เบคโกะ ที่มีครีบและหางยาวคล้ายผีเลื้อ

บัตเตอร์ฟายล์-ชิโร่-อุจึริ (Butterfly Shiro Utsuri) คือ ปลาแฟนซีคาร์พสายพันธุ์ ชิโร่-อุจึริ ที่มีครีบและหางยาวคล้ายผีเสื้อ

บัตเตอร์ฟายล์-ฮิการิโมโน (Butterfly Hikari-moyomono) คือ ปลาแฟนซีคาร์พ

สายพันธุ์ ฮิการิ-โมโยโมโน ที่มีครีบและหางยาวคล้ายผีเสื้อ สายพันธุ์ ฮิการิ-โมโยโมโน ที่มีครีบและหางยาวคล้ายผีเสื้อ


ประวัติปลาคราฟ/ปลาคาร์ฟในไทย
ปลาคราฟ เป็นปลาน้ำจืดที่จัดอยู่ในกลุ่มปลาตะเพียน มีถิ่นกำเนิดในประเทศอีหร่าน สำหรับประเทศไทยมีการนำเข้ามาเลี้ยงครั้งแรกจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2493 ซึ่งช่วงนั้นยังนิยมเลี้ยงในกลุ่มผู้มีฐานะดีเท่านั้น ต่อมาปี พ.ศ. 2498 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ทรงได้สั่งปลาคราฟจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาเลี้ยง พร้อมกับเรียกชื่อปลาคราฟอีกชื่อว่า ปลาอมรินทร์ แต่ชื่อสามัญที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษ คือ Crap อ่านไทยว่า คราฟ หรือ คาร์ฟ ซึ่งนิยมเรียกต่อมาตามสากล และเรียกมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนประเทศญี่ปุ่นเรียกปลาคราฟว่า Nishikigoi ที่มาจากคำว่า Nishiki ที่หมายถึง ผ้าไหมทอจากอิเดียที่มีสีสันสวยงาม มีหลากสี และมีราคาแพง ชาวญี่ปุ่นจึ้งตั้งชื่อตามลักษณะของผ้าที่คล้ายกับสีของปลาคราฟที่สวยงาม หายาก และมีราคาแพง

ลักษณะทั่วไปปลาคราฟ/ปลาคาร์ฟ
ปลาคราฟ มีลักษณะลำตัวแบน และค่อนข้างกลม หัวไม่มีเกร็ด ริมฝีปากบางเรียบ ภายในปากไม่มีฟัน แต่จะมีฟันที่ลำคอ 1-3 แถว แต่ละแถวมีฟันไม่เกิน 8 ซี่ ลำตัวมีครีบหลัง ครีบหู ครีบท้อง และครีบหาง บางชนิดไม่มีเกล็ด บางชนิดมีเกล็ด บางชนิดมีเกล็ดขนาดใหญ่ในบางส่วน เช่น ปลาคราฟญี่ปุ่นมีเกล็ดทั้งลำตัว ส่วนปลาคราฟเยอรมันมีเกล็ดขนาดใหญ่เฉพาะแถบบนเส้นข้างลำตัว

ปลาคราฟ เป็นปลาที่ไม่จัดอยู่กลุ่มปลากินพืชหรือปลากินเนื้อ เพราะโดยธรรมชาติจะกินพืชหรือสาหร่ายที่มีตัวอ่อนสัตว์น้ำเข้าไปด้วย รวมถึงสามารถกินได้ทั้งแพลงตอนพืช และสัตว์ และหอยได้ด้วย

อาหาร และการหาอาหาร
ปลาคราฟ เป็นปลาที่กินทั้งพืช และสัตว์ ในการเลี้ยงอาจให้ขนมปัง ข้าวสุก ลูกปลา หรือกุ้งขนาดเล็กก็ได้ รวมถึงอาหารปลาดุกก็เป็นอาหารที่ปลาคราฟชอบเช่นกัน นิสัยการหาอาหารของปลาคราฟ มักออกหาอาหารทั้งในระดับผิวน้ำ กลางน้ำ และท้องน้ำ มักใช้ปากคุ้ยเขี่ยหาอาหารตามริมขอบฝั่งหรือหน้าดินตามขอบฝั่ง เป็นปลาที่ไม่ชอบอุณหภูมิร้อนหรือเย็นมากเกินไป อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเติบโตที่ 20-22 องศาเซียลเซียส สภาพน้ำสะอาด น้ำมีสภาพเป็นกลางหรือเป็นกรดเพียงเล็กน้อย ระหว่าง 7.0-7.5 หากน้ำเป็นกรดจะทำให้สีของปลาคราฟซีด ไม่สดใส

พันธุ์ปลาคราฟ/ปลาคาร์ฟ
พันธุ์ปลาคราฟ ที่เลี้ยงกันมากในเมืองไทย ได้รับการนำเข้ามาเลี้ยงจากประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยอดีต จนถึงปัจจุบันก็ยังนิยมเลี้ยงกันมาก ดังนั้น พันธุ์ปลาคราฟส่วนใหญ่จึงเป็นพันธุ์ที่ได้รับการตั้งชื่อมาจากประเทศญี่ปุ่น ได้แก่
1. โคฮากุ (Kohoku)
2. ไทโช ซันเก้ (Taisho Sanke)
3. โชวา ซันโชกุ (Showa Sanshoku)
4. อุจิริ โมโน (Utsuri Mono)
5. เบคโกะ (Bekko)
6. อาซากิ ชูซุย (Asagi Shusui)
7. โกโรโมะ (Koromo)
8. โอกอน (Ogon)
9. ฮิการิ โมโย (Hikari Moyo)
10.ฮิการิ อุจิริ (Hikari Utsuri)
11. คินกินริน (Kinginrin)
12. ตันโจ (Tancho)
13. คาวาริ โมโน (Kawari Mono)

ลักษณะปลาคราฟ/ปลาคาร์ฟ ที่ดี
ปลาคราฟที่ดี และเป็นที่ต้องการของตลาดจะต้องมีลักษณะของหัวที่สมบูรณ์ ลำตัวไม่สั้นเกินไป ลำตัวต้องกลมเป็นรูปกระสวย ลักษณะครีบสวยงาม ไม่มีส่วนฉีกขาด ส่วนหางใหญ่ และแข็งแรง มีท่วงท่าการว่ายน้ำสวยงาม และที่สำคัญอีกประการ คือ จะต้องมีสีสันเข้ม สวยงาม มีความคมชัด สดใส และมีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ หายาก ทั้งนี้ ปลาคราฟที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์หรือเป็นโรคจะมีลักษณะเชื่องซึม มีสีซีดจาง ปลาประเภทนี้ไม่ควรนำมาเลี้ยง และควรกำจัดออกจากบ่อทันที

สีของปลาคราฟ/ปลาคาร์ฟ
สีของปลาคราฟ เป็นสารสีที่มาจากสารแคโรทีนอยด์ ซึ่งปลาคาร์ฟไม่สามารถสังเคราะห์สารเหล่านี้ได้เอง แต่สารแคโรทีนอยด์ที่ทำให้เกิดสีในตัวปลาคราฟจะมาจากอาหารที่ได้รับในแต่ละวัน ซึ่งสีจากสารแคโรทีนอยด์จะให้สีเหลือง ส้ม และแดง โดยสีแดงในปลาคราฟเกิดจากสารแคโรทีนอยด์ชนิด astaxanthin ซึ่งปลาคราฟสามารถสะสม และเปลี่ยนสารสีเหล่านี้ให้อยู่ในร่างกายได้

ปลาคราฟ1

การศึกษาระดับแคโรทีนอยด์ที่มีต่อความเข้มสีของปลาคราฟด้วยการให้อาหาร 6 ชนิด ที่มีปริมาณแคโรทีนอยด์ใน 6 ความเข้มข้น ตั้งแต่ 4.09-103.9 ไมโครกรัม/กรัม ตลอดระยะเวลา 8 สัปดาห์ พบว่า ปลาคาร์ฟที่ได้รับแคโรทีนอยด์ที่ระดับ 96.2 และ103.9 ไมโครกรัม/กรัม มีความเข้มของสีแดงเพิ่มสูงขึ้น แต่หากหยุดให้อาหารแก่ปลาคราฟนาน 4 สัปดาห์ กลับพบว่า กลุ่มปลาคราฟที่มีความเข้มสีเพิ่มขึ้นจากการได้รับอาหารในระดับ 96.2 และ103.9 ไมโครกรัม/กรัม ยังคงรักษาระดับความเข้มของสีแดงได้เหมือนเดิมได้ ดังนั้น ปริมาณแคโรทีนอยด์ในอาหารที่เหมาะสมเพื่อให้สีของปลาคราฟเข้มขึ้น และความเข้มสีคงที่ ควรมีปริมาณแคโรทีนอยด์อย่างน้อย 96.2 ไมโครกรัม/กรัม (อรพินท์ และคณะ, 2548)(1)

ดังนั้น การเลี้ยงปลาคราฟเพื่อให้มีความเข้มสีที่สวยงาม ต้องควรคำนึงถึงความเข้มข้นของแคโรทีนอยด์ในอาหาร

นอกเหนือจากการให้แคโรทีนอยด์ในอาหารเพื่อเพิ่มสีสันให้แก่ปลาแล้ว ยังมีวิธีอื่นที่ทำได้ คือ การเติมสารสกัดที่มีแคโรทีนอยด์ลงในน้ำตู้ปลาหรือในบ่อเลี้ยง ซึ่งสารสกัดที่มีแคโรทีนอยด์สูงสามารถหาได้จากพืชที่มีสีเหลืองหรือสีแดง อาทิ ใบหูกวาง เป็นต้น

การอนุบาลปลาคราฟ/ปลาคาร์ฟ
1. ลูกปลาคราฟหลังฟักออกจากไข่จนถึง 2 อาทิตย์ จะให้อาหารประเภทไข่บด ร่วมกับไรแดง ซึ่งจะให้ประมาณวันที่ 3-5 หลังฟักเป็นตัวแล้ว
2. ลูกปลาคราฟ 15-30 วัน เปลี่ยนมาให้ไรแดง ร่วมกับปลาบดผสมกับรำละเอียด
3. ลูกปลาคราฟ 30-60 วัน เปลี่ยนมาให้ปลาบดผสมกับรำละเอียด และอาหารสำเร็จรูปเสริม
4. ลูกปลาคราฟ อายุประมาณ 2-3 เดือน ที่มีสีเหลืองทั้งตัว ให้เลี้ยงด้วยอาหารที่มีส่วนผสม ดังนี้
– ปลาป่น 20%
– กากถั่วเหลือง 30%
– รำละเอียด 35%
– ปลายข้าว 15%

นอกจากนั้น สามารถให้อาหารสำเร็จรูปได้ ทั้งอาหารปลาดุก และอาหารปลานิลหรือปลาทับทิม

การเลี้ยงปลาคราฟ/ปลาคาร์ฟ
การเลี้ยงปลาคราฟที่พบเห็นนิยมมากในปัจจุบัน แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. การเลี้ยงในตู้ปลา
การเลี้ยงปลาคราฟในตู้ปลามักไม่นิยมนัก เพราะปลาคราฟเป็นปลาสวยงามขนาดใหญ่ และชอบว่ายน้ำคุ้ยเขี่ยหาอาหารเก่ง แต่หากเลี้ยง ควรเลี้ยงไม่เกิน 2 ตัว และเพิ่มจำนวนตามขนาดของตู้ปลา ส่วนน้ำที่ใช้เลี้ยง อาจเป็นน้ำประปาหรือน้ำฝนก็ได้ แต่หากเป็นน้ำฝนในชุมชนเมืองควรหลีกเลี่ยง เพราะน้ำฝนมักเป็นกรดมาก

สำหรับตู้ปลาควรมีเครื่องเติมอากาศตลอดเวลา รวมถึงเครื่องกรองน้ำด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ตู้ปลาอาจตกแต่งด้วยกรวดหิน และสาหร่ายขนาดเล็ก แต่ไม่ควรเป็นสาหร่ายขนาดใหญ่ เพราะมักเสียหายจาการว่ายหรือการกัดกินของปลาคราฟได้ง่าย

2. การเลี้ยงในบ่อจัดสวน
การเลี้ยงในบ่อจัดสวน หรือ บ่อดาดคอนกรีต ถือเป็นรูปแบบการเลี้ยงปลาคราฟที่นิยมมาก เพราะสามารถปล่อยปลาคราฟได้จำนวนมาก ปลาคราฟมีพื้นที่ว่ายน้ำได้กว้าง ไม่ต้องใช้เครื่องเติมอากาศ และสามารถรองรับขนาดปลาคราฟที่เติบโตจนมีขนาดใหญ่ในอนาคตได้

บ่อเลี้ยงปลาคราฟอาจเป็นขอบดิ่งหรือขอบลาดเอียง ขนาดบ่อควรลึกในช่วง 40-70 เซนติเมตร เพราะตื้นมากจะทำให้น้ำร้อนจากแดดส่อง หากลึกมากจะทำให้มองไม่เห็นตัวปลา และน้ำด้านล่างเย็น โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว แต่อาจทำบางจุดให้ลึกได้ โดยเฉพาะจุดรวมน้ำเพื่อทำการเปลี่ยนน้ำหรือถ่ายเทน้ำ นอกจากนั้น พื้นบ่อปลาหรือขอบบ่อปลาควรเติมกรวดทรายลงเล็กน้อย เพื่อให้ปลาคราฟคุ้ยเขี่ยอาหารตามสภาพธรรมชาติ ทั้งนี้ จะต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำทุกๆ 1 เดือน หรือ 2 เดือน/ครั้ง

การตกแต่งบ่อเลี้ยง ควรใช้หินกองเป็นถ้ำเพื่อให้มีร่มเงาในน้ำ หรืออาจปลูกไม้น้ำในกระถางลงในบ่อก็ได้ แต่ไม่ควรมีต้นไม้ใหญ่คลุมบ่อข้างบ่อ เพราะจะมีใบไม้ร่วงลงบ่อทำให้คุณภาพน้ำแย่ลงได้ รวมถึงระบบน้ำพรุ ระบบหมุนเวียนน้ำ หรือระบบกรองน้ำร่วมด้วยยิ่งดี นอกจากนั้น อาจออกแบบบ่อให้มีทางข้ามเพื่อเดินชม และเป็นที่บังแดดให้แก่ปลาได้

ทั้งนี้ ปลาคราฟรุ่นที่ใช้เลี้ยงควรมีอายุตั้งแต่ 6-8 เดือน ขึ้นไป หรือขนาดลำตัวยาวมากกว่า 15 เซนติเมตร ขึ้นไป


การให้อาหาร
อาหารปลาคราฟรุ่นที่เลี้ยงตามบ่อหรือตู้ปลา ปัจจุบัน นิยมใช้อาหารสำเร็จรูปประเภทลอยน้ำ ซึ่งใช้ได้ทั้งอาหารปลากินเนื้

ขอบคุณข้อมูลจาก
www.pasusat.com/ปลาคราฟ/

ปลาหางไหม้ (ฉลามหางไหม้)



ชื่อไทย : หางไหม้ หางเหยี่ยว หนามหลังหางดำ ฉลามหางไหม้
ชื่อสามัญ : Silver shark , Bala shark , Tricolor shark
              Burnt-tailed barb, Siamese bala-shark
ชื่อวิทยาศาสตร์ Balantiocheilos melanopterus


อุปนิสัย : รักสงบ ขี้ตื่นตกใจง่าย ปกติอยู่ร่วมกันเป็นฝูง ว่ายน้ำรวดเร็วมาก ว่ายน้ำเกือบตลาดเวลา
ถิ่นอาศัย : เคยพบในเขตภาคกลาง ในแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ในปัจจุบันเข้าใจว่าสุญพันธุ์ไปจากแหล่งน้ำธรรมชาติแล้ว นอกจากนี้ยังพบในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซียเเละเขมร ขนาดราว 25 ซ.ม. แต่เคยพบใหญ่ที่สุด ยาว 35 ซ.ม.
อาหาร : กินได้ทั้งอาหารสดและสำเร็จรูป

วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2560

ปลาสายน้ำผึ้ง




ขอชี้แจงพันธุ์ปลานะครับ
ปลาสายน้ำผึ้ง ชื่อไทยมีหลายชื่อ เรียกตามถิ่นอาศัย ที่พบ อันได้แก่ ปลาอีดู ปลาอีดูด ปลาปากใต้ ปลามุด ปลายาลู ปลาผึ้ง ปลาสร้อยน้ำผึ้ง ปลาลูกผึ้ง หรือที่รู้จักกันมากในชื่อปลาน้ำผึ้ง แต่ในตลาดปลาสวยงามบ้านเรามักจะเรียกชื่อผิดเป็นปลาสายน้ำผึ้งครับ


ชื่อวิทยาศาสตร์ : Gyrinocheilus aymonieri
ชื่อสามัญ :  Siamese gyrinocheilus Siamese Algae Eater , Honey Sucker , Chinese algae eater , Sucking loach
ชื่อท้องถิ่น : ปลาสายน้ำผึ้ง ปลาอีดู ปลาอีดูด ปลาปากใต้ ปลามุด ปลายาลู ปลาผึ้ง ปลาสร้อยน้ำผึ้ง ปลาลูกผึ้ง ปลาน้ำผึ้ง


เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ในวงศ์ปลาสร้อยน้ำผึ้ง (Gyrinocheilidae) มีรูปร่างเรียวทรงกระบอก แบนข้างเล็กน้อย ส่วนหัวค่อนข้างใหญ่ ตาเล็ก ปากอยู่ด้านล่างของจะงอยปาก มีสีพื้นลำตัวสีน้ำตาลเขียวมีลายแถบสีคล้ำพาดยาวตามลำตัวและมีจุดสีดำกระจายอยู่ทั่ว ตัวผู้เมื่อเจริญวัยขึ้นจะมีปุ่มคล้ายเม็ดสิวขึ้นตามหน้าและริมฝีปากบน มีลักษณะสำคัญ คือมีช่องเล็ก อยู่ด้านบนสุดของช่องเหงือก ริมฝีปาก มีลักษณะเป็นแผ่นดูดรูปกลมใช้ดูดกินตะไคร่น้ำตามพื้นหิน และ ทราย แล้วหายใจโดยใช้น้ำผ่านเข้าช่องเปิดด้านบนฝาปิดเหงือก แล้วออกมาทางด้านข้าง แทนที่จะใช้ปากสูบน้ำเข้าอย่างปลาทั่ว ไป
หากินอยู่ตามท้องน้ำ พบได้ทั่วไปในแหล่งน้ำต่าง ทั้งแหล่งน้ำหลากและที่ราบลุ่ม ขนาดความยาวเต็มที่ 30 เซนติเมตร กินอาหารจำพวกตะไคร่น้ำ, ซากพืช, ซากสัตว์ และสัตว์น้ำขนาดเล็กทั่วไป พบตั้งแต่ภาคใต้ของประเทศจีน ในประเทศไทยพบได้ทุกภาคและพบไปจนถึงมาเลเซีย

ปลาสร้อยน้ำผึ้ง ในอดีตขึ้นชื่อมากในแง่ของการนำไปทำเป็นน้ำปลาที่มีรสชาติดี เป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดราชบุรีในชื่อ "น้ำปลาปลาสร้อยน้ำผึ้ง" และใช้เนื้อบริโภคอีกด้วย นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้ เพื่อใช้ทำความสะอาดตู้ด้วยการกินเศษอาหารหรือตะไคร่น้ำ ปัจจุบัน นิยมเพาะพันธุ์เป็นปลาเผือกหรือปลาที่มีร่างกายสั้นกว่าปกติอีกด้วย รวมถึงยังนำไปในกิจการฟิชสปาหรือสปาปลาแทนที่ปลาเลียหินได้อีกด้วย
ปลาคราฟ/ปลาคาร์ฟ และการเลี้ยงปลาคราฟ



ปลาคราฟ/ปลาคาร์ฟ (Crap) เป็นปลาสวยงามที่ได้รับความนิยมจากผู้เลี้ยงปลาสวยงามมานาน เนื่องจาก เป็นปลาที่มีสีสันสวยงาม เชื่อง และเลี้ยงง่าย เป็นที่ต้องการของผู้เลี้ยงปลาสวยงามในทุกกลุ่มทั้งใน และต่างประเทศ


ปลาคราฟ/ปลาคาร์ฟ เป็นปลาสวยงามที่มีราคาสูง มีราคาซื้อขายกันตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักหลายแสนบาท ทำให้เกิดความนิยมในการเลี้ยง เพื่อการจำหน่ายลูกปลา และเพาะพันธุ์ให้มีสีสันสวยงามเพื่อจำหน่ายให้ได้ราคาสูง

อนุกรมวิธาน
• Order : Cypriniformes
• Family : Cyprinidae
• Genus : Cyprinus
• Species: Carpio

• ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cyprinus carpio Linn.
• ชื่อสามัญ :
– Crap
– Colored Crap
– Nishikigoi (ญี่ปุ่น)
– Koi

• ชื่อไทย :
– ปลาคราฟ
– ปลาคาร์ฟ
– ปลาคาร์พ
– ปลาแฟนซีคราฟ
– ปลาไนแฟนซี
– ปลาไนสี
– ปลาไนทรงเครื่อง

ปลาคราฟ

ประวัติปลาคราฟ/ปลาคาร์ฟในไทย
ปลาคราฟ เป็นปลาน้ำจืดที่จัดอยู่ในกลุ่มปลาตะเพียน มีถิ่นกำเนิดในประเทศอีหร่าน สำหรับประเทศไทยมีการนำเข้ามาเลี้ยงครั้งแรกจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2493 ซึ่งช่วงนั้นยังนิยมเลี้ยงในกลุ่มผู้มีฐานะดีเท่านั้น ต่อมาปี พ.ศ. 2498 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ทรงได้สั่งปลาคราฟจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาเลี้ยง พร้อมกับเรียกชื่อปลาคราฟอีกชื่อว่า ปลาอมรินทร์ แต่ชื่อสามัญที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษ คือ Crap อ่านไทยว่า คราฟ หรือ คาร์ฟ ซึ่งนิยมเรียกต่อมาตามสากล และเรียกมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนประเทศญี่ปุ่นเรียกปลาคราฟว่า Nishikigoi ที่มาจากคำว่า Nishiki ที่หมายถึง ผ้าไหมทอจากอิเดียที่มีสีสันสวยงาม มีหลากสี และมีราคาแพง ชาวญี่ปุ่นจึ้งตั้งชื่อตามลักษณะของผ้าที่คล้ายกับสีของปลาคราฟที่สวยงาม หายาก และมีราคาแพง

ลักษณะทั่วไปปลาคราฟ/ปลาคาร์ฟ
ปลาคราฟ มีลักษณะลำตัวแบน และค่อนข้างกลม หัวไม่มีเกร็ด ริมฝีปากบางเรียบ ภายในปากไม่มีฟัน แต่จะมีฟันที่ลำคอ 1-3 แถว แต่ละแถวมีฟันไม่เกิน 8 ซี่ ลำตัวมีครีบหลัง ครีบหู ครีบท้อง และครีบหาง บางชนิดไม่มีเกล็ด บางชนิดมีเกล็ด บางชนิดมีเกล็ดขนาดใหญ่ในบางส่วน เช่น ปลาคราฟญี่ปุ่นมีเกล็ดทั้งลำตัว ส่วนปลาคราฟเยอรมันมีเกล็ดขนาดใหญ่เฉพาะแถบบนเส้นข้างลำตัว

ปลาคราฟ เป็นปลาที่ไม่จัดอยู่กลุ่มปลากินพืชหรือปลากินเนื้อ เพราะโดยธรรมชาติจะกินพืชหรือสาหร่ายที่มีตัวอ่อนสัตว์น้ำเข้าไปด้วย รวมถึงสามารถกินได้ทั้งแพลงตอนพืช และสัตว์ และหอยได้ด้วย

อาหาร และการหาอาหาร
ปลาคราฟ เป็นปลาที่กินทั้งพืช และสัตว์ ในการเลี้ยงอาจให้ขนมปัง ข้าวสุก ลูกปลา หรือกุ้งขนาดเล็กก็ได้ รวมถึงอาหารปลาดุกก็เป็นอาหารที่ปลาคราฟชอบเช่นกัน นิสัยการหาอาหารของปลาคราฟ มักออกหาอาหารทั้งในระดับผิวน้ำ กลางน้ำ และท้องน้ำ มักใช้ปากคุ้ยเขี่ยหาอาหารตามริมขอบฝั่งหรือหน้าดินตามขอบฝั่ง เป็นปลาที่ไม่ชอบอุณหภูมิร้อนหรือเย็นมากเกินไป อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเติบโตที่ 20-22 องศาเซียลเซียส สภาพน้ำสะอาด น้ำมีสภาพเป็นกลางหรือเป็นกรดเพียงเล็กน้อย ระหว่าง 7.0-7.5 หากน้ำเป็นกรดจะทำให้สีของปลาคราฟซีด ไม่สดใส

พันธุ์ปลาคราฟ/ปลาคาร์ฟ
พันธุ์ปลาคราฟ ที่เลี้ยงกันมากในเมืองไทย ได้รับการนำเข้ามาเลี้ยงจากประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยอดีต จนถึงปัจจุบันก็ยังนิยมเลี้ยงกันมาก ดังนั้น พันธุ์ปลาคราฟส่วนใหญ่จึงเป็นพันธุ์ที่ได้รับการตั้งชื่อมาจากประเทศญี่ปุ่น ได้แก่
1. โคฮากุ (Kohoku)
2. ไทโช ซันเก้ (Taisho Sanke)
3. โชวา ซันโชกุ (Showa Sanshoku)
4. อุจิริ โมโน (Utsuri Mono)
5. เบคโกะ (Bekko)
6. อาซากิ ชูซุย (Asagi Shusui)
7. โกโรโมะ (Koromo)
8. โอกอน (Ogon)
9. ฮิการิ โมโย (Hikari Moyo)
10.ฮิการิ อุจิริ (Hikari Utsuri)
11. คินกินริน (Kinginrin)
12. ตันโจ (Tancho)
13. คาวาริ โมโน (Kawari Mono)

ลักษณะปลาคราฟ/ปลาคาร์ฟ ที่ดี
ปลาคราฟที่ดี และเป็นที่ต้องการของตลาดจะต้องมีลักษณะของหัวที่สมบูรณ์ ลำตัวไม่สั้นเกินไป ลำตัวต้องกลมเป็นรูปกระสวย ลักษณะครีบสวยงาม ไม่มีส่วนฉีกขาด ส่วนหางใหญ่ และแข็งแรง มีท่วงท่าการว่ายน้ำสวยงาม และที่สำคัญอีกประการ คือ จะต้องมีสีสันเข้ม สวยงาม มีความคมชัด สดใส และมีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ หายาก ทั้งนี้ ปลาคราฟที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์หรือเป็นโรคจะมีลักษณะเชื่องซึม มีสีซีดจาง ปลาประเภทนี้ไม่ควรนำมาเลี้ยง และควรกำจัดออกจากบ่อทันที

สีของปลาคราฟ/ปลาคาร์ฟ
สีของปลาคราฟ เป็นสารสีที่มาจากสารแคโรทีนอยด์ ซึ่งปลาคาร์ฟไม่สามารถสังเคราะห์สารเหล่านี้ได้เอง แต่สารแคโรทีนอยด์ที่ทำให้เกิดสีในตัวปลาคราฟจะมาจากอาหารที่ได้รับในแต่ละวัน ซึ่งสีจากสารแคโรทีนอยด์จะให้สีเหลือง ส้ม และแดง โดยสีแดงในปลาคราฟเกิดจากสารแคโรทีนอยด์ชนิด astaxanthin ซึ่งปลาคราฟสามารถสะสม และเปลี่ยนสารสีเหล่านี้ให้อยู่ในร่างกายได้

ปลาคราฟ1

การศึกษาระดับแคโรทีนอยด์ที่มีต่อความเข้มสีของปลาคราฟด้วยการให้อาหาร 6 ชนิด ที่มีปริมาณแคโรทีนอยด์ใน 6 ความเข้มข้น ตั้งแต่ 4.09-103.9 ไมโครกรัม/กรัม ตลอดระยะเวลา 8 สัปดาห์ พบว่า ปลาคาร์ฟที่ได้รับแคโรทีนอยด์ที่ระดับ 96.2 และ103.9 ไมโครกรัม/กรัม มีความเข้มของสีแดงเพิ่มสูงขึ้น แต่หากหยุดให้อาหารแก่ปลาคราฟนาน 4 สัปดาห์ กลับพบว่า กลุ่มปลาคราฟที่มีความเข้มสีเพิ่มขึ้นจากการได้รับอาหารในระดับ 96.2 และ103.9 ไมโครกรัม/กรัม ยังคงรักษาระดับความเข้มของสีแดงได้เหมือนเดิมได้ ดังนั้น ปริมาณแคโรทีนอยด์ในอาหารที่เหมาะสมเพื่อให้สีของปลาคราฟเข้มขึ้น และความเข้มสีคงที่ ควรมีปริมาณแคโรทีนอยด์อย่างน้อย 96.2 ไมโครกรัม/กรัม (อรพินท์ และคณะ, 2548)(1)

ดังนั้น การเลี้ยงปลาคราฟเพื่อให้มีความเข้มสีที่สวยงาม ต้องควรคำนึงถึงความเข้มข้นของแคโรทีนอยด์ในอาหาร

นอกเหนือจากการให้แคโรทีนอยด์ในอาหารเพื่อเพิ่มสีสันให้แก่ปลาแล้ว ยังมีวิธีอื่นที่ทำได้ คือ การเติมสารสกัดที่มีแคโรทีนอยด์ลงในน้ำตู้ปลาหรือในบ่อเลี้ยง ซึ่งสารสกัดที่มีแคโรทีนอยด์สูงสามารถหาได้จากพืชที่มีสีเหลืองหรือสีแดง อาทิ ใบหูกวาง เป็นต้น

การอนุบาลปลาคราฟ/ปลาคาร์ฟ
1. ลูกปลาคราฟหลังฟักออกจากไข่จนถึง 2 อาทิตย์ จะให้อาหารประเภทไข่บด ร่วมกับไรแดง ซึ่งจะให้ประมาณวันที่ 3-5 หลังฟักเป็นตัวแล้ว
2. ลูกปลาคราฟ 15-30 วัน เปลี่ยนมาให้ไรแดง ร่วมกับปลาบดผสมกับรำละเอียด
3. ลูกปลาคราฟ 30-60 วัน เปลี่ยนมาให้ปลาบดผสมกับรำละเอียด และอาหารสำเร็จรูปเสริม
4. ลูกปลาคราฟ อายุประมาณ 2-3 เดือน ที่มีสีเหลืองทั้งตัว ให้เลี้ยงด้วยอาหารที่มีส่วนผสม ดังนี้
– ปลาป่น 20%
– กากถั่วเหลือง 30%
– รำละเอียด 35%
– ปลายข้าว 15%

นอกจากนั้น สามารถให้อาหารสำเร็จรูปได้ ทั้งอาหารปลาดุก และอาหารปลานิลหรือปลาทับทิม

การเลี้ยงปลาคราฟ/ปลาคาร์ฟ
การเลี้ยงปลาคราฟที่พบเห็นนิยมมากในปัจจุบัน แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. การเลี้ยงในตู้ปลา
การเลี้ยงปลาคราฟในตู้ปลามักไม่นิยมนัก เพราะปลาคราฟเป็นปลาสวยงามขนาดใหญ่ และชอบว่ายน้ำคุ้ยเขี่ยหาอาหารเก่ง แต่หากเลี้ยง ควรเลี้ยงไม่เกิน 2 ตัว และเพิ่มจำนวนตามขนาดของตู้ปลา ส่วนน้ำที่ใช้เลี้ยง อาจเป็นน้ำประปาหรือน้ำฝนก็ได้ แต่หากเป็นน้ำฝนในชุมชนเมืองควรหลีกเลี่ยง เพราะน้ำฝนมักเป็นกรดมาก

สำหรับตู้ปลาควรมีเครื่องเติมอากาศตลอดเวลา รวมถึงเครื่องกรองน้ำด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ตู้ปลาอาจตกแต่งด้วยกรวดหิน และสาหร่ายขนาดเล็ก แต่ไม่ควรเป็นสาหร่ายขนาดใหญ่ เพราะมักเสียหายจาการว่ายหรือการกัดกินของปลาคราฟได้ง่าย

2. การเลี้ยงในบ่อจัดสวน
การเลี้ยงในบ่อจัดสวน หรือ บ่อดาดคอนกรีต ถือเป็นรูปแบบการเลี้ยงปลาคราฟที่นิยมมาก เพราะสามารถปล่อยปลาคราฟได้จำนวนมาก ปลาคราฟมีพื้นที่ว่ายน้ำได้กว้าง ไม่ต้องใช้เครื่องเติมอากาศ และสามารถรองรับขนาดปลาคราฟที่เติบโตจนมีขนาดใหญ่ในอนาคตได้

บ่อเลี้ยงปลาคราฟอาจเป็นขอบดิ่งหรือขอบลาดเอียง ขนาดบ่อควรลึกในช่วง 40-70 เซนติเมตร เพราะตื้นมากจะทำให้น้ำร้อนจากแดดส่อง หากลึกมากจะทำให้มองไม่เห็นตัวปลา และน้ำด้านล่างเย็น โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว แต่อาจทำบางจุดให้ลึกได้ โดยเฉพาะจุดรวมน้ำเพื่อทำการเปลี่ยนน้ำหรือถ่ายเทน้ำ นอกจากนั้น พื้นบ่อปลาหรือขอบบ่อปลาควรเติมกรวดทรายลงเล็กน้อย เพื่อให้ปลาคราฟคุ้ยเขี่ยอาหารตามสภาพธรรมชาติ ทั้งนี้ จะต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำทุกๆ 1 เดือน หรือ 2 เดือน/ครั้ง

การตกแต่งบ่อเลี้ยง ควรใช้หินกองเป็นถ้ำเพื่อให้มีร่มเงาในน้ำ หรืออาจปลูกไม้น้ำในกระถางลงในบ่อก็ได้ แต่ไม่ควรมีต้นไม้ใหญ่คลุมบ่อข้างบ่อ เพราะจะมีใบไม้ร่วงลงบ่อทำให้คุณภาพน้ำแย่ลงได้ รวมถึงระบบน้ำพรุ ระบบหมุนเวียนน้ำ หรือระบบกรองน้ำร่วมด้วยยิ่งดี นอกจากนั้น อาจออกแบบบ่อให้มีทางข้ามเพื่อเดินชม และเป็นที่บังแดดให้แก่ปลาได้

ทั้งนี้ ปลาคราฟรุ่นที่ใช้เลี้ยงควรมีอายุตั้งแต่ 6-8 เดือน ขึ้นไป หรือขนาดลำตัวยาวมากกว่า 15 เซนติเมตร ขึ้นไป


การให้อาหาร
อาหารปลาคราฟรุ่นที่เลี้ยงตามบ่อหรือตู้ปลา ปัจจุบัน นิยมใช้อาหารสำเร็จรูปประเภทลอยน้ำ ซึ่งใช้ได้ทั้งอาหารปลากินเนื้

ขอบคุณข้อมูลจาก
www.pasusat.com/ปลาคราฟ/
ปลาสลิด และการเลี้ยงปลาสลิด


  
ปลาสลิด (Snake Skin Gounrami) เป็นปลาน้ำจืดที่ไม่นิยมรับประทานสด แต่นิยมนำมาทำเค็มและตากแห้งสำหรับนำมาทอด ปิ้งย่าง และยำรับประทานเป็นหลัก นอกจากนั้น มีแหล่งเลี้ยงที่สำคัญในหลายจังหวัด เช่น สุพรรณบุรี สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา

อนุกรมวิธาน
Order : Labyrinthici
Family : Anabantidae
Genus : Trichogaster Bloch
Species : pectoralis (Regan)

เป็นปลาที่อยู่ในวงศ์เดียวกันกับปลาหมอ ปลากด ปลากัด ปลาแรด และปลากระดี่

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Trichogaster pectoralis Regan
ชื่อพ้อง (synonym) : Osphronemus nobilis Gerini
ชื่อไทย : ปลาสลิด (Pla Salid), ปลาใบไม้ (Pla Baimai)
ชื่ออังกฤษ : Sanke skinned gourami, Damsel fish, Small gourami, Boubel nest builder
ชื่ออินโดนีเซีย : Sepat Siam, Sepat Siem, Siem.
ชื่อมาเลเซีย : Sepat Siam
ชื่อเวียดนาม : Ca sat rang
ชื่อพม่า : Trey Kanthor

ลักษณะทั่วไปของปลาสลิด
ปลาสลิดมีลำตัวคล้ายปลากระดี่หม้อ แต่มีขนาดใหญ่กว่า ลำตัวมีลักษณะแบน มีส่วนหัว และหางเรียว และส่วนกลางลำตัวกว้าง ลำตัวมีสีเขียวอมเทา หรือมีสีคล้ำเป็นพื้น และมีสีเขียวเข้มทางด้ายซ้าย และมีแถบสีดำพาดขวางตามแนวยาวจากหัวถึงโคนหาง ข้างละ 1 แถบ และมีแถบสีน้ำตาลเข้มพาดเฉียงบริเวณลำตัว และมีเกล็ดเหนือเส้นข้างตัว 42-47 เกล็ด ส่วนปากขนาดเล็ก แต่ยืดหดได้ ส่วนครีบอกมีขนาดใหญ่ และยาว ส่วนหัวมีก้านครีบแข็ง 7 อัน และก้านครีบอ่อน 10-11 อัน ปลาสลิดซึ่งมีขนาดใหญ่เต็มที่จะมีความยาวประมาณ 20-25 เซนติเมตร แต่ทั่วไปจะพบขนาดความยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร

ปลาสลิดมีอวัยวะพิเศษที่ใช้ช่วยในการหายใจ เรียกว่า ลาบิริงค์ ออร์แกน (Labyrinth organ)มีลักษณะคล้ายดอกไม้บาน เป็นกลีบเรียงซ้อนกันอยู่เหนือเหงือก ทำให้สูดออกซิเจนจากอากาศได้โดยตรงจึงสามารถอยู่บนบกได้นาน

การแยกเพศ
ปลาสลิดเพศผู้จะมีลำตัวเรียวยาวมากกว่าปลาสลิดเพศเมีย มีแนวสันหลัง และสันท้องในแนวเกือบขนานกัน มีครีบยาวจรดหางหรือยาวมากกว่าโคนหาง ลำตัวมีสีเข้ม และมีสีสันสวยงามมากกว่าตัวเมีย

ส่วนปลาสลิดเพศเมียจะ มีลำตัวป้อมสั้น สันหลังไม่ขนานกัน เพราะมีสันท้องยาวกว่า มีครีบหลังมน และสั้นกว่าเพศผู้ และครีบไม่ยาวถึงโคนหางเหมือนเพศผู้ นอกจากนั้น ลำตัวจะมีสีจางกว่า และเมื่อถึงฤดูวางไข่ ส่วนท้องจะอูมเป่งใหญ่ขึ้นซึ่งเต็มไปด้วยไข่จำนวนมาก

แหล่งอาศัย และอาหาร
ปลาสลิด เป็นปลาที่ชอบอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำนิ่ง เช่น สระน้ำ บ่อน้ำ บึง และนาข้าว ชอบหลบอาศัยตามบริเวณที่มีพรรณไม้น้ำขึ้นเพื่อเป็นที่พักอาศัย กําบังตัว และการก่อหวอดวางไข่
ส่วนอาหารของปลาสลิดที่สำคัญ ได้แก่ พืชน้ำ สาหร่าย ตะไคร่น้ำ ไรน้ำ แพลงค์ตอนพืช/แพลงตอนสัตว์ และสัตว์ขนาดเล็กต่างๆ

การสืบพันธ์ุ และวางไข่
ปลาสลิดสามารถเข้าสู่วัยผสมพันธุ์ และวางไข่ได้ตั้งแต่อายุประมาณ 7 เดือน ขนาดลำตัวยาวประมาณ 15-17 ซม. น้ำหนักประมาณ 150-400 กรัม ตัวเมียจะมีไข่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน และเริ่มเข้าสู่ช่วงวางไข่ตั้งแต่เดือนเมษายน-สิงหาคม โดยแม่ปลา 1 ตัว จะวางไข่ได้ประมาณ 3-4 ครั้ง/ปี แต่ละครั้งจะวางไข่ประมาณ 7,000-8,000 ฟอง แต่เจริญเป็นลูกปลาได้ประมาณ 4,000 ตัว

การวางไข่
ก่อนที่ปลาสลิดตัวเมียจะวางไข่ ปลาตัวผู้จะเลือกสถานที่ และเตรียมที่วางไข่ให้ ซึ่งมักจะเลือกบริเวณที่มีร่มใต้ต้นไม้ โดยการก่อหวอดด้วยการหุบอากาศเข้าผสมกับน้ำเมือกก่อนจะพ่นออกมาเป็นฟองอากาศที่มีลักษณะเป็นฟองน้ำลอยเกาะบริเวณต้นผัก ต้นหญ้าที่ไม่หนาทึบมาก ขนาดกว้างประมาณ 10-15 ซม. นูนจากผิวน้ำประมาณ 2 ซม. ซึ่งมักจะก่อหวอดในช่วงกลางวันจนถึงวันรุ่งขึ้นก็พร้อมผสมพันธุ์ เมื่อเตรียมหวอดเสร็จแล้ว ปลาสลิดตัวผู้จะไล่ต้อนตัวเมียเข้าไปอยู่ใต้หวอด และเข้าใช้หางแนบรัดท้องตัวเมียเพื่อปล่อยไข่ออกมา และตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อเข้าผสม ทำอย่างนี้ประมาณ 3 ครั้ง ใช้เวลาการวางไข่ประมาณ 2-3 นาที/ครั้ง จากนั้นปลาเพศผู้จะออไข่เข้าไปเกาะใต้หวอด พร้อมไล่ตัวเมียออกให้ห่างหวอด และคอยดูแลรังจนกว่าลูกปลาจะฟักออก และว่ายน้ำออกหากินเองได้แล้วค่อยออกใช้ชีวิตตามปกติ

การฟักไข่
ไข่ปลาสลิดที่ปล่อยออกมาจะมีลักษณะเป็นก้อนกลมขนาดเล็ก สีเหลือง ขนาด 0.9-2 มิลลิเมตร ขึ้นอยู่กับขนาด ไข่จะฟักเป็นตัวประมาณ 24-48 ชั่วโมง ส่วนไข่ที่ไม่มีการผสมน้ำเชื้อจะมีลักษณะเป็นสีขาว ลูกปลาที่ฟักออกมาใหม่จะยังไม่กินอาหาร เพราะอาศัยอาหารจากถุงอาหารที่ท้อง และจะเริ่มกินอาหารเมื่อถุงอาหารหมดประมาณ 7 วัน หลังจากฟักออก ซึ่งจะสังเกตได้จากลูกปลาลอยขึ้นเหนือน้ำในช่วงเช้า

ลูกปลาสลิดตามธรรมชาติ หากพื้นที่อาศัยมีความอุดมสมบูรณ์ ลูกปลาจะเติบโตประมาณ 7-10 ซม. ในเวลา 3 เดือน และ 10-12 ซม. ในเวลา 6 เดือน และ 16 ซม. ขึ้นไป ในเวลา 10-12 เดือน

ประโยชน์ปลาสลิด
คุณค่าทางโภชนาการ (ปลาสลิดสด 100 กรัม)
– น้ำ 80.9 กรัม
– พลังงาน 76 กิโลแคลอรี่
– โปรตีน 17.2 กรัม
– ไขมัน 0.8 กรัม
– แคลเซียม 70 มิลลิกรัม
– ฟอสฟอรัส 177 มิลลิกรัม
– เหล็ก 2.3 มิลลิกรัม
– ไรโบฟลาวิน 0.2 มิลลิกรัม
– ไนอะซีน 2 มิลลิกรัม

ที่มา : กองโภชนาการ, 2535

การเลี้ยงปลาสลิด
การเพาะพันธุ์ และการอนุบาล
การเพาะพันธุ์ปลาสลิด
การผสมพันธุ์ปลาสลิดจะใช้พ่อแม่พันธุ์ที่มีเมื่ออายุมากกว่า 7 เดือน ขึ้นไป-10 เดือน และมีขนาดตั้งแต่ 10 ซม. ขึ้นไป ซึ่งตามธรรมชาติปลาสลิดจะเริ่มทำการผสมพันธุ์ตั้งแต่เดือนเมษายน-สิงหาคม และอาจใช้ฮอร์โมนกระตุ้นให้ออกไข่ในทุกฤดู

การเพาะพันธุ์ปลาสลิด สามารถเพาะได้โดยใช้บ่อซีเมนต์สำเร็จรูปหรือก่ออิฐสี่เหลี่ยมสูงประมาณ 50 ซม. สร้างหรือวางใต้โรงเรือนหรือทำเพิงคลุมด้านบนบ่อเพื่อบังแดดและหาผักบุ้งหรือพืชน้ำใส่ในบ่อ

อัตราการปล่อยพ่อแม่ปลาที่ตัวผู้ 1 ตัว ตัวเมีย 1 ตัว ต่อพื้นที่ 1-2 ตารางเมตร หลังจากปล่อยพ่อแม่พันธุ์ปลาประมาณ 5-6 วัน จะสังเกตเห็นปลาก่อหวอด และวางไข่ จากนั้น ประมาณ 1-2 วัน ให้ช้อนพ่อแม่ปลาออก

การอนุบาล
การเลี้ยงอนุบาลลูกปลาจะใช้การให้ไข่ผงหรือไรน้ำในช่วง 2 สัปดาห์แรก หลังจากฟักออกจากไข่ประมาณ 5-7 วัน เพราะช่วงแรกลูกปลาจะยังไม่กินอาหาร ต่อมาจึงให้รำผงละเอียดต่อ นอกจากนั้น อาจหว่านโรยด้วยปุ๋ยคอก และยูเรียร่วมด้วย รวมถึงเสริมด้วยพืชน้ำต่างๆ ไรแดง ปลวก และซากพืชผักเน่า และดูแลจนกว่าลูกปลามีขนาดยาว 2 เซนติเมตร จึงค่อยนำปล่อยลงในบ่อเลี้ยงต่อไป ทั้งนี้ ในช่วงอนุบาลลูกปลา ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำสม่ำเสมออย่างน้อย 1 ครั้ง/อาทิตย์

นอกจากนั้น บางพื้นที่ยังนิยมเพาะพันธุ์ปลาสลิดโดยใช้บ่อดินขนาดเล็กก่อน ซึ่งจะช่วยขยายพันธุ์ได้ครั้งละมากๆ

การเลี้ยงในบ่อดิน
การเตรียมบ่อดิน
บ่อดินที่เกษตรกรใช้เลี้ยงปลาสลิดเพื่ออาชีพ ควรมีขนาดตั้งแต่ 1 ไร่ ขึ้นไป บ่อดินใหม่ควรขุดให้ลึกประมาณ 60-75 ซม. ไม่ควรให้ลึกมากกว่านี้ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลาง และภาคตะวันออก เพราะหากลึกมากจะทำให้น้ำเปรี้ยวมาก หลังจากนั้นให้ใส่ปูนขาว รใส่ปูนขาวอัตรา 100-200 กิโลกรัม/ไร่

ส่วนบ่อเก่าให้เตรียมบ่อหลังการจับปลาสลิดแล้ว โดยทำการขุดลอกหน้าดิน 2 ปี/ครั้ง และดูดน้ำออกให้หมด พร้อมโรยด้วยปูนขาวทุกครั้ง อัตรา 100-200 กิโลกรัม/ไร่ และตากก้นบ่อนาน 10-20 วัน

หลังการเตรียมบ่อในขั้นแรกเสร็จแล้ว ให้หว่านโรยด้วยปุ๋ยคอกหรือมูลไ่ก่ อัตรา 100 กิโลกรัม/ไร่ รำละเอียด 15-20 กิโลกรัม/ไร่ หลังจากนั้นน้ำเข้าบ่อสูง 10-20 เซนติเมตร ทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วัน ก็จะเกิดแพลงก์ตอนพืชสำหรับเป็นอาหารปลาสลิด แล้วค่อยปล่อยน้ำเข้าบ่อให้มีความสูงตามระดับที่เหมาะสม

การปล่อย และการดูแล

เมื่อลูกปลาสลิดมีความยาวตั้งแต่ 2-3 ซม. ให้จับมาปล่อยในบ่อดิน อัตราการปล่อยที่ 1 ตารางเมตร/ปลาสลิด 5-10 ตัว หรือประมาณ 8,000-16,000 ตัว/ไร่

หลังการปล่อยให้นำผักบุ้ง ผักกะเฉด หรือพืชน้ำอื่นๆ มาปล่อยในบ่อ แต่ไม่แนะนำผักตบชะวา และจอก หรือพืชน้ำอื่นที่เป็นพืชรุกราน

อาหารของปลาสลิดที่เลี้ยงในบ่อดินจะได้จากธรรมชาติที่เป็นแพลงก์ตอน สาหร่าย และพืชน้ำเป็นหลัก แต่ควรให้อาหารเสริมเป็นระยะ เช่น การใช้รำ และปลายข้าว อย่างละ 1 ส่วน ผสมกับผักบุ้งหั่นหรือผักอื่นๆ 2 ส่วน หว่านให้ 2 ครั้ง/สัปดาห์

โรค และศัตรู
ปลาสลิด เป็นปลาที่ไม่ค่อยพบเป็นโรคมากนัก แต่อาจพบการตายจากสาเหตุออกซิเจนในน้ำไม่เพียงพอเป็นสำคัญ ที่สังเกตได้จากการที่ปลาขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำ มักพบในแหล่งน้ำธรรมชาติที่เน่าเสีย หรือหากเป็นบ่อเลี้ยงก็จะเกิดการการเน่าเสียของอาหารในน้ำหรือการเลี้ยงในปริมาณมากเิกินไป ทั้งนี้ สามารถแก้ไขได้โดยการเปลี่ยนถ่ายน้ำใหม่ และปล่อยพันธุ์ปลาในอัตราที่เหมาะสม นอกจากนั้น อาจพบเห็บปลาที่มีลักษณะตัวแบน สีน้ำตาลใสเกาะติดตามลำตัว ทำให้ปลาผอม และเจริญเติบโตช้า ซึ่งแก้ไขได้โดยการเปลี่ยนถ่ายน้ำปล่อยๆ

วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2560

ปลาแรดเผือก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Osphronemus goramy 
ชื่อสามัญ : Giant Gourami Albino
ชื่อท้องถิ่น : ปลาแรดเผือก

เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งในวงศ์ Osphroneminae ซึ่งอยู่ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae นับเป็นปลาแรดชนิดที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด

ลักษณะ
              ลำตัวป้อมและแบนข้าง เกล็ดสากมือเป็นรูปหยัก มีก้านครีบท้องคู่แรกเป็นเส้นเรียวยาวคล้ายหนวด ใช้สำหรับสัมผัส ปลายหางมนกลม ปากแหลม ริมฝีปากหนา ภายในปากมีฟันซี่เล็ก ๆ แหลมคมเรียงอยู่ภายใน ส่วนหัวเล็กและป้าน เมื่อโตขึ้นมาโดยเฉพาะในปลาตัวผู้จะมีโหนกนูนขึ้นมาเรื่อย ๆ จนดูคล้ายนอแรด อันเป็นที่มาของชื่อสามัญในภาษาไทย โคนหางมีจุดสีดำคล้ำอยู่ทั้ง 2 ข้าง เมื่อโตขึ้นจุดดังกล่าวจะหายไป รวมทั้งอวัยวะส่วนอื่น ๆ เช่น ริมฝีปาก หรือขากรรไกรที่ใหญ่กว่าตัวเมีย ขณะที่ปลาตัวเมียจะมีจุดสีดำที่บริเวณโคนครีบอกทั้ง 2 ข้าง ส่วนตัวผู้ไม่มี

อาหาร
เป็นปลาที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์น้ำ แต่นิยมกินพืชมากกว่า มีการกระจายพันธุ์ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในส่วนที่เป็นแผ่นดินใหญ่ และที่เป็นหมู่เกาะ ในประเทศไทยพบได้ในพื้นที่ภาคกลางและบางส่วนของภาคใต้ มีขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 90 เซนติเมตร จึงนับว่าเป็นปลาชนิดที่ใหญ่ที่สุดในวงศ์ Osphronemidae แต่ว่าขนาดโดยเฉลี่ยทั่วไปจะมีขนาดประมาณ 30-40 เซนติเมตร

ที่อยู่
เป็นปลาน้ำจืดเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งของไทย โดยนิยมเพาะเลี้ยงกันในหลายพื้นที่ เช่น นิยมเลี้ยงกันที่แม่น้ำสะแกกรัง ในจังหวัดอุทัยธานี ที่มีเลี้ยงกันในกระชังในแม่น้ำจนเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี

นอกจากนี้แล้ว ยังนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามอีกด้วย โดยในปลาธรรมดาจะเรียกกันว่า "แรดดำ" และในปลาที่มีผิวเผือกจะเรียกว่า "แรดเผือก" หรือ "แรดเผือกตาแดง" นอกจากนี้แล้วยังมีปลาที่สีแตกต่างออกไปด้วย จากการเพาะขยายพันธุ์โดยมนุษย์

ภาวะผิวเผือก (อังกฤษ: Albinism หรือ achromia หรือ achromasia หรือ achromatosis หรือถ้าเป็นคำวิเศษณ์ก็ใช้ albinoid หรือ albinic) “Albinism” มาจากภาษาละตินว่า “Albus” ที่แปลว่า “ขาว” หมายถึงภาวะความผิดปกติแต่กำเนิด hypopigmentation ชนิดหนึ่ง ที่มีทำให้บางส่วนของร่างกายหรือร่างกายทั้งหมดขาดสีเมลานินในบริเวณตา ผิวหนังและผม หรือบางครั้งก็เพียงแต่ที่ตา

ภาวะผิวเผือกเกิดจากการได้รับความเด่น ภาวะที่ว่านี้มีผลต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่รวมทั้งมนุษย์, ปลา, นก, สัตว์เลื้อยคลาน และ สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ศัพท์ที่ใช้เรียกกันโดยทั่วไปของภาวะที่ว่านี้คือ “albino” ที่บางครั้งนำมาใช้ในเชิงดูหมิ่น “albino” จึงเลี่ยงมาเป็นการใช้วลีเช่น “albinistic person” หรือ “person with albinism” (ผู้มีภาวะผิวเผือก) แทนที่
โคเมท

โคเมท  เป็นปลาทองสายพันธุ์หนึ่งที่ปรากฏในปัจจุบัน มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมที่สหรัฐอเมริกา ลักษณะของโคเมทคือ ลำตัวผอมเพรียวยาวแลดูคล้ายปลาคาร์ป ครีบทุกครีบยาวโดยเฉพาะครีบหาง ลำตัวมักมีสีเดียวล้วน ๆ เช่น สีขาวหรือสีแดง ขนาดเมื่อโตเต็มที่สามารถยาวได้ถึง 12 นิ้ว จัดว่าเป็นปลาทองสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่มากสายพันธุ์หนึ่ง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Carassius auratus
ชื่อสามัญ : Comet
ชื่อท้องถิ่น : โคเมท


โดยชื่อ โคเมท นั้น หมายถึงดาวหาง ทั้งนี้เพราะความที่มีลักษณะเพรียวยาวเหมือนดาวหางนั่นเอง โคเมทในประเทศแถบตะวันตก เช่น ที่สหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษจะเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมาก และมีราคาสูง แต่สำหรับในประเทศไทยและแถบเอเชียนั้น สายพันธุ์นี้กลับไม่ได้รับความนิยมเท่าและมีราคาต่ำ ทั้งที่ปลาทองสายพันธุ์นี้จัดว่าเลี้ยงง่ายกว่าสายพันธุ์อื่นมาก ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีจุดเด่นเพียงพอที่จะทำให้แลดูสวยงามเหมือนสายพันธุ์อื่น อีกทั้งยังมีลักษณะทั่วไปคล้ายปลาคาร์ปอีกด้วย จึงทำให้มีความเข้าใจผิดและสับสนกันระหว่างปลาทั้งสองชนิดนี้เสมอ ๆ โดยเฉพาะในตัวที่ยังเล็กอยู่ และบางคนอาจจะเลี้ยงปนกันในบ่อเดียวกันด้วย


ปลาสวาย

  




ปลาสวาย เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลาสวาย (Pangasiidae) มีส่วนหัวค่อนข้างเล็ก แนวบริเวณหัวถึงครีบหลังลาดตรง ตาอยู่เสมอหรือสูงกว่ามุมปาก ปากแคบกว่าปลาบึก ที่อยู่สกุลเดียวกัน รูปร่างเพรียวแต่ป้อมสั้นในปลาขนาดใหญ่ ก้านครีบท้องมี 8-9 เส้น ครีบก้นยาว ปลาขนาดเล็กมีสีคล้ำเหลือบเงิน ด้านข้างลำตัวสีจางและมีแถบสีคล้ำตามยาว ครีบสีจาง ครีบหางมีแถบสีคล้ำตามแนวยาวทั้งตอนบนและล่าง ปลาขนาดใหญ่มีสีเทาหรือคล้ำอมน้ำตาล ด้านข้างลำตัวสีจาง มีขนาดประมาณ 50 เซนติเมตร ใหญ่สุด 1.5 เมตร


ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pangasianodon hypophthalmus
ชื่อสามัญ :  Iridescent shark, Striped catfish, Sutchi catfish
ชื่อท้องถิ่น : ปลาสวาย


ปลาสวายเป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ซึ่งพบเห็นอยู่ทั่วไป ทั้งในประเทศไทย เขมร และเวียดนาม สำหรับประเทศไทยมีผู้นิยมเลี้ยงปลาสวายทั้งในบ่อและในกระชัง จังหวัดที่เลี้ยงปลาสวายในกระชังกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ได้แก่จังหวัดอุทัยธานี และนครสวรรค์ โดยสร้างกระชังขนาดใหญ่เลี้ยงเรียงรายอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำ นับว่าเป็นปลาที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่ง เพราะเนื้อมีรสดี มีปริมาณมากสามารถปรุงแต่งเป็นอาหารได้หลายแบบหลายรส
 รูปร่างลักษณะและนิสัย
        

      ปลาสวายเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกับปลาเทโพ เพราะมีรูปร่างขนาด ลักษณะ ตลอดจนความเป็นอยู่ไปในลักษณะเดียวกัน เป็นปลาที่ไม่มีเกล็ด ลำตัวเรียวยาว ลักษณะด้านข้างค่อนไปทางอวบกลมมีหลังข้างตรง ส่วนหน้าลาดลงถึงปาก และปากกว้างทู่มีหนวดสั้น ๆ 2 คู่ มีกระโดงครีบหลัง 1 อัน และครีบอกข้างละ 1 คู่ ปลายหางยาวและเว้าลึกเป็นแฉก หลังมีสีหม่นเข้ม ตามครีบจะมีสีเหลืองอ่อน ส่วนที่ปลายหางครีบหลัง และครีบอกจะมีสีค่อนข้างดำปลาเทโพ มีลักษณะส่วนสัดคล้ายคลึงกับปลาสวาย แต่ที่นับว่าแตกต่างใช้เป็นจุดสังเกตได้ง่าย ๆ คือ ปลาเทโพจะมีจุดกลมดำที่เหนือโคนครีบหู หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "หู" อีกข้างละหนึ่งจุด
       

       ในประเทศไทย แหล่งที่พบปลาสวายชุกชุมมากที่สุด อยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาโดยทั่วไป คือ มักพบเห็นตามแม่น้ำ ลำคลอง ตั้งแต่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เรื่อยไปถึงจังหวัดนครสวรรค์ ปลาทั้งสองชนิดนี้มักจะว่ายรวมกันไปเป็นฝูง ๆ อยู่ในน้ำลึกซึ่งมีกระแสน้ำไหลถ่ายเทได้ชอบรวมกลุ่มพักอยู่ในที่ร่มใกล้พันธุ์ไม้น้ำ เช่น ตามใต้แพผักบุ้งที่มีกร่ำแพสนุ่น หรือใต้กอผักตบชวา ปลาสวายเป็นปลาที่ตื่นตกใจง่ายเมื่อถูกรบกวนหรือถูกทำอันตราย
 ลักษณะเพศและการแพร่ขยายพันธุ์
            

  ลักษณะเพศ ปลาสวายตัวผู้มีท้องเรียบไม่นูน พื้นท้องแข็งกว่าตัวเมีย ลักษณะช่องเพศเป็นรูปวงรี แคบเล็ก มีสีแดงอ่อน เมื่อใช้มือบีบที่ช่องเพศเบา ๆ จะมีน้ำเชื้อสีขาวไหลออกมาให้เห็นได้ชัด ส่วนตัวเมียมีลักษณะที่พอจะสังเกตได้ชัด คือบริเวณส่วนท้องอูมเป่ง กลมนูนออกมาเห็นได้ถนัด พื้นท้องมีผิวเนียนนิ่ม ลักษณะของช่องเพศ เป็นรูปรีมีขนาดกว้างใหญ่กว่าของตัวผู้ นอกจากนั้นตรงบริเวณช่องเพศยังมีลักษณะพองเป่งปรากฏเป็นสีแดงเข้มฤดูและแหล่งวางไข่ ปลาสวายจะวางไข่ตามแหล่งน้ำธรรมชาติในบริเวณที่มีน้ำท่วมในฤดูน้ำมาก ซึ่งอยู่ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม ไข่ปลาสวายจะฟักออกเป็นตัวในระยะเวลา 27-33 ชั่วโมงหลังจากวางไข่ ที่อุณหภูมิ 28-31 องศาเซลเซียส
             

  จากการสอบถามผู้ที่ได้เคยทำการทดลองเลี้ยงปลาสวายในกระชัง และได้ทดลองเลี้ยงในบ่อ ปรากฏว่าทั้งปลาสวายและปลาเทโพจะไม่วางไข่แพร่พันธุ์ในบ่อหรือในกระชังที่เลี้ยงไว้เลย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปลาสวายจะไม่วางไข่ในบ่อและในกระชัง แต่ก็มีผู้นิยมเลี้ยงปลาสวายในบ่อและในกระชังกันมาก ทั้งนี้เพราะเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย กินง่าย โตเร็ว มีน้ำหนักมาก เนื้อมีรสอร่อย และในท้องตลาดจะมีผู้รับซื้อในราคาที่ดีพอสมควร
            

  ชาวประมงที่เลี้ยงปลาสวายในบ่อ (หรือในกระชัง) จะต้องซื้อหาลูกปลาสวายขนาดเล็กประมาณ 5-12 เซนติเมตร มาจากแหล่งขายลูกปลา ลูกปลาสวายที่นำมาจำหน่าย ส่วนมากจะได้มาจากแหล่งต่าง ๆ ในลุ่มน้ำภาคกลาง เช่น ในท้องที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลพบุรี อุทัยธานี อ่างทอง นครสวรรค์และพิษณุโลก


 การเจริญเติบโต
             ปลาสวายที่เลี้ยงในบ่อและในกระชัง ประมาณ 1 ปี จะได้ปลาที่มีน้ำหนักตัวละประมาณ 1.3 กิโลกรัม ถ้าเลี้ยงนาน 3 ปี อาจจะได้ปลาสวายขนาดความยาว 3 ฟุต น้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม

ปลาชะโด



ปลาชะโด เป็นปลาท้องถิ่นที่พบแพร่กระจายได้ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดเป็นปลาสวยงามชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาเลี้ยงในขณะที่ลำตัวมีขนาดเล็ก เนื่องจากมีแถบลายข้างลำตัวสวยงาม แต่เมื่อโตแล้วจะไม่นิยมเลี้ยงเนื่องจากลายข้างลำตัวจะหายไป
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ophicephalus micropeltes
ชื่อสามัญ : Great snakehead, Giant snakehead
ชื่อท้องถิ่น : ปลาชะโด, ปลาแมงภู่, ปลาอ้ายป๊อก
ลักษณะปลาชะโด
ปลาชะโดมีรูปร่างคล้ายปลาช่อน และมีขนาดลำตัวใหญ่มาก โดยเคยพบปลาชนิดนี้มีลำตัวยาวมากกว่า 1 เมตร น้ำหนักมากกว่า 50 กิโลกรัม ลักษณะลำตัวทั่วไปของตัวเต็มวัย แถบลำตัวทางด้านบนมีสีน้ำตาลอมเขียวเมื่อยังเล็ก และเป็นน้ำตาลอมดำเมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีจุดประสีขาวกระจายทั่วในแนวตั้งขวางลำตัวด้านบน และกระจายในแนวนอนตามยาวบริเวณส่วนหัว ส่วนด้านท้องด้านล่างมีสีขาว เมื่อยังเล็กจะมีแถบข้างลำตัว 2 แถบ เป็นสีแดง หรือ อาจมองเห็นเป็นสีส้ม เมื่อโตเต็มวัยแถบสีแดงจะเปลี่ยนเป็นสีดำทำให้มองเห็นเป็นแถบพาดยาวจากลูกตา และมุมปากไปจรดโคนหาง ส่วนครีบหางมีลักษณะสี่เหลี่ยม ขอบครีบหางทางด้านบน และด้านล่างมีสีชมพู
ส่วนหัวของปลาชะโดมีลักษณะคล้ายปลาช่อน ปากมีฟันเป็นชี่สีขาวคล้ายฟันปลาฉลาม สามารถกัดเหยื่อให้ขาดเป็นท่อน หรือเกิดเป็นแผลขนาดใหญ่ได้
ความแตกต่างระหว่างเพศของปลาชะโด สามารถสังเกตได้ในช่วงฤดูวางไข่ โดยปลาชะโดเพศเมียจะมีผนังท้องบาง และอูมเป่ง บริเวณด้านท้องของอวัยวะเพศมีสีชมพูแดงเรื่อ
การแพร่กระจาย และแหล่งอาศัย
ปลาชะโดในประเทศไทยมักพบในแหล่งน้ำนิ่งต่างๆที่มีพรรณไม้น้าต่างๆ เช่น บัว สาหร่ายพุงชะโด จอก ผักตบชะวา ลักษณะของน้ำค่อนข้างใส พื้นท้องน้ำเป็นดินโคลน โดยพบแพร่กระจายมากในแถบจังหวัดภาคกลางถึงภาคเหนือตอนล่าง ชอบอาศัยที่ระดับความลึก 1.3-2.5 เมตร โดยปลาชะโดขนาดใหญ่มักไม่มีการอพยพย้ายถิ่น อาจเนื่องจากมีลำตัว และน้ำหนักมากทำให้เป็นอุปสรรคในการย้ายแหล่งอาศัย แต่ปลาชะโดขนาดเล็กจะมาการย้อยถิ่นอาศัยเหมือนกับปลาช่อนทั่วไป
อาหาร และการหาอาหาร
ปลาชะโด เป็นปลาที่มีฟันเป็นซี่ สามารถกัดกินอาหารให้ขาดเป็นท่อนได้ง่าย ชอบอาศัยตามพุ่มไม้น้ำเพื่อเป็นที่พรางตัว และการหาอาหาร โดยมีอาหารเป็นปลา กุ้งฝอย และแมลงต่างๆ นอกจากนั้น ปลาชะโดยังกินซากเน่าเปื่อยของปลาหรือสัตว์อื่นๆ แต่อาหารหลักจะเป็นปลาชนิดต่างๆ ทั้งขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก
การผสมพันธุ์ และวางไข่
ปลาชะโดจะผสมพันธุ์ในช่วงต้นฤดูฝนเหมือนกับปลาชนิดอื่นทั่วไป ชอบสร้างรัง และวางไข่บริเวณริมฝั่งที่มีพรรณไม้น้ำขึ้นโดยรอบ โดยจะสังเกตเห็นแม่ปลาขึ้นมาตีแปลงเพื่อสร้างแอ่งหรือรังสำหรับวางไข่
ลูกปลาชะโดเมื่อฝักออกจากไข่จะอยู่รวมกันเป็นฝูง โดยมีแม่ปลาคอยดูแลตลอด ซึ่งในระยะนี้ แม่ปลาจะมีความดุร้ายมาก หากพบปลาหรือสิ่งมีชีวิตเข้ามาใกล้ก็จะว่ายเข้าตะคุบกัดทันที ทำให้พบปล่อยที่ว่ามีคนโดนปลาชะโดกัดบ่อยในระยะที่ปลาเริ่มวางไข่ ด้วยเหตุนี้ ทำให้ลูกปลาชะโดสามารถมีชีวิตรอดจนสามารถหากินเองได้เกือบ 100% เลยทีเดียว และเมื่อลูกปลาเติบโตจนสามารถออกหาอาหารเองได้ก็จะแตกฝูงออกไปอาศัยหากินตามลำพัง
การเลี้ยงปลาชะโด
พบเกษตรกรในบางพื้นที่มีการเลี้ยงปลาชะโดเพื่อจำหน่าย และส่งออกไปยังต่างประเทศ ซึ่งพบได้ในภาคกลาง โดยเป็นการเลี้ยงในกระชัง และเลี้ยงในบ่อดิน แต่โดยทั่วไปพบการเลี้ยงมากในกระชังบริเวณอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่
การเลี้ยงปลาชะโดเพื่อจำหน่ายส่วนมากเป็นการเลี้ยงเพื่อการส่งออกเป็นปลาสวยงามทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งจะเก็บปลาส่งจำหน่ายขณะที่ยังมีขนาดลำตัวเล็กอยู่ เนื่องจากปลาชะโดขนาดเล็กจะมีลายหรือสีแถบข้างลำตัวที่สวยงาม นิยมนำมาเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ส่วนการจำหน่ายเพื่อการบริโภคยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก เนื่องจาก ลำตัวมีลายที่แลดูน่าเกียจ เมื่อเปรียบกับปลาช่อนที่นิยมรับประทานมากกว่า
อัตราการปล่อยพันธุ์ปลาชะโดที่ 2,000-3,500 ตัว/กระชัง (200 ตัว/ตารางเมตร) ขนาดลูกปลายาวประมาณ 5-7 เซนติเมตร ใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 8-12 เดือน ซึ่งจะได้ขนาดปลาน้ำหนักประมาณ 1-3 กิโลกรัม
อาหารปลาชะโดที่ใช้เลี้ยงจะเป็นลูกปลาหรือปลาขนาดเล็ก แต่สามารถเลี้ยงด้วยอาหารสำเร็จรูปสำหรับปลากินเนื้อได้

ขอบคุณข้อมูลจาก